วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สัญลักษณ์ของแต่ละศาสนามีอะไรบ้าง



ศาสนาคริสต์

สองพันกว่าปีที่แล้วชายชาวยิวชื่อ เยซู ถือกำเนิดบนโลก พระองค์มีสาวกจำนวนหนึ่งเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ส่งพระเยซูลงมาบนโลก
พวกเขาเรียกพระเยซูว่า "ผู้ที่ถูกเลือกสรร" หรือ "ผู้ที่ได้รับการเจิมไว้" ซึ่งภาษากรีกก็คือ "พระคริสต์" สาวก "พระเยซูคริสต์"
เรียกว่าคริสเตียนหรือชาวคริสต์

กางเขนเป็นเครื่องเตือนใจว่า พระองค์ทรงวายพระชนม์บนกางเขนเพื่อมนุษย์ทั้งปวง


ศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธเป็นปรัญชาที่ก่อกำเนิดขึ้นในอินเดีย ปรัญชานั้นคือวิธีที่ช่วยให้เข้าใจโลกทำให้โลกมีความหมายสำหรับเรา
ธรรมจักร (วงล้อ) มีกรงล้อ 8 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคำสอนแห่งศาสนาพุทธ

ศาสนาฮินดู

อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดหลายศาสนา หนึ่งในหลายศาสนาที่เกิดก็คือศาสนาฮินดู สัญลักษณ์ของศาสนาฮินดูคือโอม
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพรหม





ศาสนาอิสลาม

อิสลามเป็นอีกศาสนาหนึ่งที่สำคัญ เริ่มจ้นในตะวันออกกลาง เมื่อ 600 ปี หลังจากการประสูติของพระเยซู

ประชาชนในดินแดนทะเลทรายที่ร้อนระอุนั้น ดวงดาวเป็นเครื่องนำทางของพวกเขา แสงจันทร์ให้ความสว่างแก่การเดินทาง
ศาสนาอิสลามนำทางและให้ความสว่างในการเดินทางชีวิตของผู้ที่ศรัทธาในศาสนานี้
ศาสนาซิกข์

ศาสนาซิกข์เริ่มต้นในอินเดีย แต่เกิดหลังจากศาสนาหลักอื่นๆ คานดา เป็นชื่อของดาบสองคม เป็นสัญลักษณ์แทนความจริง
และความยุติธรรมของพระเจ้า
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

- อิสลามไม่มีลักษณ์ครับ..ที่เห็นเป็นดาว-เดือนเพราะนับวันแบบจันทรคติ..โดยที่หนึ่งเดือนจะมีไม่เกิน 30 วัน เพราะจริงๆแล้วโลกหมุนรอบตังเอง 23 ชม.ครึ่ง ไม่ใช่ 24 ชม.แต่มันคำนวนยาก เลยปัดเป็น 24 ชม.และปรับทุกอย่างให้เป็น 24ชม.ครับ
- พูดถึงสัญญลักษณ์ของศาสนาทุกศาสนา
ล้วนมีความนัยที่แยบยลแฝงอยู่เป็นปริศนาทั้งนั้
เพราะว่าองค์ศาสดาเหล่านั้นประสงค์จะบอกอะไร
สักอย่าง แต่ไม่อาจบอกตรงๆ ได้
จึงต้องทำเป็นปริศนาซ่อนอยู่ในเครื่องหมายสัญญลักษณ์
ไม่ว่าจะเป็น ไม้กางเขน ของศาสนาคริสต์
หรือพระจันทรฺ์เสี่ยงกับดาวประกายพฤกษ์ของอิสลาม
อินหยางศาสนาเต๋า สวัสดิกะศาสนาพุทธ
ลองฝากไว้พิจารณาดูน่ะเจ้าค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กีฬาอะไรที่คนเล่นและคนดู "เงียบที่สุด


-สนุ๊กเกอร์นี่หละ
-หมากรุก รึป่าว
-กีฬาคนพิการ ตาบอด เป็นใบ้ เงียบแน่ครับ ฮิ..............
-เล่น โกะ (หมากล้อม) ค่ะ


วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเมืองภาคประชาชนคืออะไร อย่างรู้ความหมายจริง ๆ

เกิดจากสาเหตุของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ถ้าหากต้องการที่จะทำให้บทบาทของภาคประชาชน สามารถที่จะใช้กลไกในทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญซึ่งมีช่องทางต่างๆมากมาย(อย่างน้อยในทางหลักการ) ผนวกไปกับการเมืองภาคพลเมือง เพื่อนำไปสู่การมีหรือการสร้างระบบกฎหมายที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง ชอบธรรม และเป็นธรรม ไม่ใช้กฎหมายที่เป็นเพียงตัวหนังสือที่เขียนแล้วอ่านออกเสียงว่ากฎหมาย แต่ไร้วิญญาณแห่งความเป็นธรรมที่สามารถพึ่งพิงได้ บทบาทของภาคประชาชนควรที่จะใช้เวทีต่างๆของการเมืองภาคประชาชน ในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้

ประการแรก สร้างความชัดเจนในทางกฎหมายให้ได้ว่า ปัญหา(หรือสิทธิ)ใดหรือประเด็นที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องใดที่ต้องการที่จะให้รัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ปัญหา( หรือสิทธิ)ใดที่บทบาทของรัฐควรจะมีบทบาทให้น้อยลง และสังคมหรือชุมชนควรจะเข้ามามีบทบาทในปัญหานั้นๆหรือในสิทธินั้นๆมากขึ้น

ประการที่สอง จะทำอย่างไรที่จะทำให้ชุมชนสามารถเรียกร้อง แสดงออกเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจและยอมรับ ความมีอยู่จริงของ"ความเป็นชุมชน" และ " สิทธิชุมชน" ต่อแวดวงนิติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อองค์กรที่ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาด เพื่อจะได้เข้าใจในความเป็นธรรมอีกมิติหนึ่งนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติ

ประการที่สาม ในการสร้างการยอมรับ จำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบข้อมูล การสาธิตเป็นตัวอย่างให้เห็น เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะแพร่ขยายองค์ความรู้และการรับรู้ ดังนั้น การสร้างระบบฐานข้อมูลและการมีสื่อของชุมชนเองเป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้

ถ้าหากเราอยากเห็นสังคมที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในความเป็นธรรม (กฎหมาย นักกฎหมาย หรือระบบกฎหมายทั้งระบบ ไม่ได้เป็นที่มาของความเป็นธรรมดังกล่าวทั้งหมดในการเมืองภาคพลเมือง) เราสามารถที่จะสร้างระบบกฎหมายได้ เพราะในความเป็นชุมชน เรามีทุนทางสังคม มีทุนทางวัฒนธรรม ที่สามารถให้ความเป็นธรรม ยึดเหนี่ยว พึ่งพาได้

คำถามคือว่า จะทำอย่างไรที่จะทำให้หลักความเป็นธรรมของสังคม เข้าไปเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายของนักกฎหมาย? และจะทำอย่างไรให้นักกฎหมายเข้าใจความต้องการของชุมชน?
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

มีคำศัพท์ว่า การเมือง การเมืองในแนวใหม่ๆ เช่น
การเมืองใหม่
การเมืองภาคประชาชน
อารยะขัดขืน(การต่อต้านอย่างสงบ)

ตอนนี้ มีการเมืองใหม่
กำลังเป็นชื่อ พรรคการเมืองใหม่ ค่ายเสื้อเหลือง พธม.
...................................................................................................................................................................................
การเมืองภาคประชาชน
คือ การเคลื่อนไหวของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายสาธารณะโดยตรง โดยไม่ผ่านทางตัวแทนของพรรคการเมือง หรือหน่วยงานราชการ การเมืองภาคประชาชนเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งย้ำแนวคิดที่ว่า "การเมืองไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" การเมืองภาคประชาชนเป็นคำจำกัดความโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
วิกิพีเดีย
ที่มาอ่านดูเวบนี้ครับ รายละเอียดมากมามาย
http://www.midnightuniv.org/midschool2000/newpage2.htm

เจ้าของความคิดนี้ ถูกฝ่าย สนธิ ลิ้มทองกุล โจมตีเป็นโจ๊ก เมื่อมีการชุมนุมพธม.ปี 2551

นี่ก็อีก การเมือง
"อารยะขัดขืน"
การดื้อแพ่ง หรือ การขัดขืนอย่างสงบ (อังกฤษ: civil disobedience) ภาษาปากว่า "อารยะขัดขืน" เป็นรูปแบบการต่อต้านทางการเมืองอย่างสงบเพื่อกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองที่เป็นอยู่

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยคือใคร

พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยคือใคร ?
---------------------------------------------------------------------------------------------
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยค่ะ


ข้อมูลเพิ่มเติม th.wikipedia

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศรัทธาหายนะ เมื่อสาวกนำความเสื่อมมาสู่ศาสดา



ความศรัทธาที่มากเกินพอดี จนไม่บันยะบันยัง และขาดการหยุดคิดตั้งสติพิจารณา จนนำไปสู่ความหลงงมงายนั้น คือ "ศรัทธาหายนะ" ที่นำความวิบัติมาสู่ตนเองและผู้ที่ตนศรัทธา

อุปมาเหมือน "ห่วงโซ่" ที่ร้อยเกาะพันกันเหนียวแน่น ถ่วงบุรุษผู้ลอยคอกลางทะเลฉะนั้น เมื่อมีผู้เอาตัวเองรอดได้ ว่ายน้ำเองได้ กำลังจะว่ายเข้าถึงฝั่งแล้ว ศรัทธาหายนะ เหล่านี้ จะแปลงสภาพเป็นห่วงโซ่เข้าสวมคอเหล่าผู้มีกำลังเหล่านั้นทันที แล้วลากท่านเหล่านี้ลงสู่ที่ต่ำเสีย ไม่อาจว่ายน้ำถึงข้ามห้วงมหรรณพไปสู่ฝั่งยังที่ปลอดภัยได้

พระ โสดาบันเปรียบดังผู้รู้ตัวว่าตนได้จมอยู่กลางทะเล ส่วนพระสกทาคามีเหมือนผู้กำลังพยายามฉุดตัวเองออกมาจากห้วงน้ำ และเรียนรู้การลอยตัวอยู่เหนือน้ำ จมบ้าง โผล่มาหายใจได้บ้าง ส่วนพระอนาคามีเหมือนผู้ที่ลอยตัวอยู่เหนือน้ำจนคล่องแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ที่ใด ยังมองไม่เห็น ยังไม่รู้ถึงจุดหมายปลายทางในท้ายที่สุด ส่วนพระอรหันต์นั้น เปรียบเหมือนผู้ที่เห็นฝั่งแล้วและกำลังลอยตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้นโดยตลอด เมื่อพระอรหันต์ตายลง ก็จะถึงฝั่งโดยปลอดภัยพอดี แต่หากยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอาศัย "ธรรมวินัย" เป็นเหมือนเข็มทิศประคองตนไม่ให้หลงออกนอกทาง แม้ว่ารู้แจ้งแล้วว่าฝั่งอยู่ที่ใด และว่ายน้ำเข้าหาฝั่งเป็นแล้วก็ตาม แต่หากยังเผลอใจ ว่ายออกนอกเส้นทาง จนถูกคลื่นกรรมซัดออกไป ก็ไม่มีใครห้ามได้ ต้องหลุดออกจากฝั่งไปในที่สุด

ต่อท้าย #1
พระอรหันต์นั้น แม้มีปัญญารู้แจ้งแล้วก็ไม่อาจถึงฝั่งนิพพาน เพราะประมาท ไม่ประคองตนอยู่ในธรรมวินัย เช่น พระอรหันต์ที่คิดว่าบรรลุธรรมแล้ว ไม่ยึดแล้ว ทำอะไรก็ไม่มีกรรมเพราะไม่ยึด แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธปรินิพพานไป ท่านสุภัททะได้บรรลุอรหันต์ แล้วปรามาสพระธรรมวินัยว่า "พระพุทธองค์ตายแล้วก็ดี เสียใจไปทำไม เราจะได้เป็นอิสระไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ถือศีลอีก" ซึ่งท่านอรหันต์จริง คำพูดของท่านก็ถูกจริง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ต่อให้อรหันต์แล้วก็ตาม หากยังไปทำบุญกรรมอีก ก็จะเกิดกรรมปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดชาติก่อภพได้อีก และไม่นิพพาน

อนึ่ง การผ่อนปรนศีล ไม่เคร่งศีลนั้นไม่ผิดแต่อย่างใด การผิดศีลก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องปกติที่มีได้ เกิดได้มาแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ไม่ใช่ของแปลกใหม่ และพระพุทธเจ้าก็ได้วางแนวทางไว้แล้วว่าผิดศีลจะต้องปลงอาบัติ ให้รู้ตัวว่าตนยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่นิพพาน ยังต้องศึกษาปฏิบัติต่อไปอีก อีกประการ ก่อนพระพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน ก็ได้สั่งเสียแก่พระอานนท์ไว้ว่าให้ผ่อนปรนศีลบ้างก็ได้ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าผ่อนข้อใดอย่างไร นั่นหมายความว่าท่านเชื่อใจการตัดสินใจของพระอานนท์ สามารถใช้วิจารณญาณของพระอานนท์ผ่อนปรนศีลได้ อีกประการ หาก ผู้ปฏิบัติธรรมมีความปรารถนาฉุดช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นก่อนตน ตนยังไม่ขอนิพพาน การผ่อนปรนศีลลงเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ก็ไม่ผิด เป็นแนวทางหนึ่งในสายธรรมของพุทธศาสนาอยู่แล้ว ที่เรียกว่า "มหายาน" นั่นเอง จึงไม่ผิดแต่อย่างใด

ต่อท้าย #2
การสร้าง "ถาวรวัตถุ" เป็น บุญใหญ่ สร้างชาติภพใหม่ ให้ผู้ทำต้องไปเกิดเพื่อเสวยผลบุญ ไม่หมดสิ้นเชื้อกรรม เชื้อเกิดได้ ทำให้แม้บรรลุธรรม มีปัญญาแจ้งแล้วก็ไม่นิพพาน การสร้างที่อยู่อาศัยนั้น ทำได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเสียทั้งหมด แต่ต้องทำแบบไม่ใช่ถาวรวัตถุ เช่น เป็นกระท่อมที่เมื่อตายลงก็พังไปพร้อมๆ กับผู้อยู่ ส่วนกุฏิที่ปลูกสร้างอย่างถาวรนั้น ไม่ทำให้นิพพาน เรื่องการสร้างที่อยู่อาศัยนี้ มีรายละเอียดชัดเจนว่ากว้างเท่าใด ยาวเท่าใด แต่ปัจจุบัน ไม่มีใครห้าม ใครเชื่อฟังคำสอนในตำราเหล่านี้ เพราะตำราไม่ใช่คน, ไม่มีชีวิต, ไม่มีอำนาจ จะมาสั่งมาห้ามใครได้ สุดแท้แต่ใครจะศรัทธาเชื่อถือ ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุสร้างกุฏิด้วยดินปั้นอย่างดี พระพุทธเจ้าก็สั่งให้ทุบเสีย ไม่ใช่เพราะอิจฉาหรือแกล้งกัน แต่เพราะสิ่งนี้เป็นเหตุขวางนิพพาน พระองค์ มีเมตตาปรารถนาให้ได้นิพพานหลุดพ้น จึงต้องทรงทำเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถึงขั้นขวางนิพพานท่านคงไม่สั่งให้ทำ เพราะพระสาวกมากมายทำผิดทาง ท่านยังต้องรอให้ผู้คนมาตำหนิต่อว่าก่อน ท่านจึงสั่งประชุมและลงโทษ จึงตราศีลเมื่อภิกษุทำผิดก่อนแล้วเท่านั้น

ใน ปัจจุบัน "ศรัทธาหายนะ" ได้เกิดขึ้นมากในหมู่ชาวพุทธ เพราะความหลงครูบาอาจารย์ ทำให้ครูบาอาจารย์โด่งดังมีชื่อเสียง ซึ่งเป็นกิเลสทั้งนั้น เอา ครูบาอาจารย์ไปลงโฆษณา แล้วเรียกเงินทำบุญมามากๆ สร้างถาวรวัตถุมากมาย เพื่อประกาศให้สังคมยอมรับว่านี่คือความสำเร็จ แต่นั่นเป็นเรื่องทางโลกทั้งสิ้น การทำเพื่อพระพุทธศาสนาที่สำคัญไม่ใช่การเลียนแบบนักการเมือง ไม่จำเป็นต้องเป็นพระนักพัฒนา ถ้าท้องถิ่นมีความเป็นอยู่ที่พอดีพอเพียง ไม่ถึงขนาดป่ารกซ่อนตัวในดงพงพีหรือรถราเข้าถึงไม่ได้ ถ้าขนาดนั้น พระสงฆ์จะบำเพ็ญบารมีแบบพระโพธิสัตว์ เป็นพระนักพัฒนาก็เห็นว่ายังพอผ่อนปรนกันได้ แต่ถ้ามีความเจริญมากมายอยู่แล้ว ยังทำให้เกิดความเจริญทางวัตถุให้มากเกินจุด "พอดี" เข้าไปอีก รังแต่จะเป็นการ "หลงวัตถุ" ตามกระแส "ทุนนิยม" และ "วัตถุนิยม" และ "บริโภคนิยม" ซึ่งเป็นกระแสที่แรงมากในปัจจุบัน มากเสียกว่าจะทำด้วยความเข้าใจในพุทธจริง

ต่อท้าย #3
ศรัทธาหายนะ ทำให้ครูบาอาจารย์หลายท่านต้องเสื่อมจากธรรมที่ตนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะมีลูกศิษย์คอยหยอดคำหวาน และทำให้หลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้พระอรหันต์ไม่ทันสังเกตว่ากรรมกำลังเคลื่อนเข้ามาครอบงำตนเองแล้วอย่าง ช้าๆ แม้พระอรหันต์จะรู้ใบไม้ในกำมือ แต่นอกกำมือ เช่น เรื่องกรรม นั้น เป็น "อจิณไตย" สำหรับพระอรหันต์ทีเดียว จำต้องมีญาณหยั่งรู้ระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงพอคาดคะเนเรื่องกรรมได้ ญาณของพระอรหันต์ไม่ถึงเรื่องอจิณไตยนี้ ทำให้เผลอทำกรรมใหม่ กรรมปัจจุบัน เป็นเครื่องก่อชาติต่อภพใหม่ หลงคิดว่าตนบรรลุธรรมแล้วจะได้นิพพานแน่ๆ แต่เพราะประมาทในธรรม ไม่ครองธรรมวินัย เช่น รับเงินทองมากเกินไป เช่น เป็นหลักแสนหรือหลักล้านจนใช้กินปัจจุบันไม่หมด เหลือแจกจ่ายลูกศิษย์บ้าง ฝากธนาคารไว้บ้าง อย่างนี้ไม่นิพพานหรอก พระอรหันต์ที่จะนิพพาน ไม่เก็บเงินเยอะขนาดนี้ ท่านเหล่านี้ก็จะได้บุญจากการเอาเงินไปช่วยผู้อื่น และเกิดบุญบารมีต่อชาติภพไปอีก กลายเป็น "อรหันตโพธิสัตว์" ไป ไม่ได้นิพพาน ดังที่เคยได้หวังไว้ตั้งแต่แรกในที่สุด

ศรัทธาหายนะ เป็นสิ่งที่ใครก็ห้ามได้ยาก เพราะ "ใครๆ ก็อยากได้เงิน" ผู้ คนมากมาย มาเอาอกเอาใจพระอรหันต์ และหวังได้เงิน ได้ของดี ได้ลาภ จากพระอรหันต์นั้น ทำให้พระอรหันต์เหล่านี้เหมือนหุ่นกระบอก ถูกเขาเอาไปโชว์ เอาไปโฆษณาลงสื่อต่างๆ เอาไปเป็นสินค้าออกขาย ตามวิสัยของคนเก่งค้าขาย เลยเอาพระอรหันต์ไปขาย และขายได้ดี มีคนทำบุญหลั่งไหลเข้ามามากมาย อนึ่ง การทำบุญเป็นสิ่งดี แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ความหลงงมงาย เพราะทำด้วยความหลง ไม่ทำให้รู้แจ้งและหลุดพ้นได้ จะยิ่งทำให้หลงบุญ หลงสวรรค์ หลงชาติ หลงภพ เพลินอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ยอมนิพพานได้สักที และอาจเสี่ยงเป็น "มาร" อยู่สวรรค์ชั้นที่ห้าและหกในที่สุด ซึ่งไม่ดีเลย

สายธรรมบาง สายเช่น มโนมยิทธิ แรกๆ ครูบาอาจารย์สอนดีมาก ต่อมาเงินจึงหลั่งไหลเข้ามามากมาย คนบางกลุ่มเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องเอาตัวรอดจากพิษเศรษฐกิจ ก็มาอาศัยหากินกับวิชชานี้ พวกเขาเอานิพพานไปเร่ขาย บอกว่าให้จองวิมานในนิพาพาน ทำบุญเท่านั้นเท่านี้ราวกับเซลขายบ้านพาไปดูบ้านตัวอย่าง แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่การกระทำก็เป็นเช่นนั้น เพราะพาไปดูนิพพาน ดูวิมานในนิพพาน และบอกว่าทำบุญแล้วได้วิมานในนิพพานได้ เวลาตายให้นึกถึงภาพนิพพานที่เห็น ซึ่งมันผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าไปมากนัก นิพพานไม่มีนิมิต เป็น "อนิมิตนิพพาน" ถ้ามีนิมิตจะไม่ได้นิพพาน ก็พิจารณาความดับไป เป็น "อนิจจัง" ของนิมิต ถึงจะได้ ถ้ามีนิมิตอยู่ ยังไงก็ไม่ได้นิพพาน ถ้ายังเห็น ยังหลงวิมาน หลงสวรรค์อยู่ ก็ไม่ได้นิพพาน


ทว่า การสอนที่ง่ายต่อการซื้อ ง่ายต่อการแลกเปลี่ยน ภายใต้ภาวะที่ไม่มีเวลาปฏิบัติอะไรให้ลึกซึ้งนี้ ในยุคที่ด่วนสั่งได้แบบไวไวควิกหรือวัฒนธรรมแม็ก อาหารจานด่วน ที่ครอบงำเต็มเมืองกรุงไปหมดนี้ การทำให้มโนมยิทธิ กลายเป็น "อาหารจานด่วน" หรือ "ซื้อได้ด้วยเงินทำบุญ" โดย ไม่ต้องปฏิบัติอะไรให้ยากเย็นเกินกว่านั่งนึกถึงนิพพาน หรือไม่ต้องไปพิจาณาคิดอะไรอีกนอกจากนิพพาน เพราะเหนื่อยล้าจากงานเกินกว่าจะใช้ปัญญาแล้วนั่นเอง
ขอบคุณบอร์ดพลังจิต

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติการศึกษาไทย หลังเปลี่ยนการปกครอง ปี 2475

การศึกษาสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 ปัจจุบัน)

1. ปัจจัย ของไทยที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษา

(1) นโยบายการจัดการศึกษาของคณะราษฎร์ ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎร์ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้วางเป้าหมายสำคัญหรืออุดมการณ์ของคณะราษฎร์ มีปรากฏอยู่ในหลัก 6 ประการ ข้อที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร เพราะคณะราษฎร์มีความเห็นว่าการที่จะให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง การปกครองระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง เมื่อประชาชนมีการศึกษาดีย่อมจะทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นด้วย ดังจะเห็นได้จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พ.ศ. 2475 กล่าวไว้ว่า การจัดการศึกษาเพื่อจะให้พลเมืองได้มีการศึกษาโดยแพร่หลาย ก็จะต้องอนุโลมตามระเบียบการปกครองที่ให้เข้าลักษณะเกี่ยวกับแผนเศรษฐกิจ แห่งชาติ หลักสูตรของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะต้องขยายให้สูงขึ้นเท่าเทียมอารยประเทศ ในการนี้จะต้องเทียบหลักสูตรของนานาประเทศ หลักสูตรใดสูงถือตามหลักสูตรนั้น” รัฐบาลชุดต่อๆ มาก็ได้พยายามที่จะได้จัดการศึกษาให้ทั่วถึงในหมู่ประชาชนทั่วไป ถ้าวิเคราะห์ดูจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลพบว่า ได้ตั้งความหวังเรื่องการศึกษาไว้สูงเกินไปจะให้เท่าเทียมอารยประเทศ ซึ่งสภาวการณ์ในประเทศขณะนั้นยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในขณะนั้น เป็นผลให้เกิดปัญหาในการจัดการศึกษานับแต่นั้นเป็นต้นมา

(2) การเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง พ.ศ. 2484 - พ.ศ. 2488 ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อประเทศไทยอย่างรุนแรงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้รับความเสียหาย อันสืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง จึงจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศและประเทศไทย สมัครเป็นสมาชิกองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ทำให้ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตลอดจนแนวคิดใหม่ ๆมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ทำให้แนวคิดทางการศึกษาของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็นอย่างมาก

2. วิวัฒนาการการจัดการศึกษา มีดังนี้

(1) มีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว โดยจัดตั้งคณะกรรมการการศึกษาและทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ๆ ให้ตั้งสภาการศึกษา พ.ศ. 2475 ประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ ต่อมามีการปรับปรุงการจัดการศึกษาภาคบังคับจาก 6 ปี เหลือ 4 ปี และประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479

(2) การมอบให้ท้องถิ่นจัดการศึกษา พ.ศ. 2476 และยกฐานะท้องถิ่นขึ้นเป็นเทศบาลตราพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้น และเทศบาลได้จัดการศึกษาอย่างแท้จริงใน พ.ศ. 2478

(3) การปรับปรุงหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการศึกษาและเหตุการณ์สำคัญ ทางการศึกษา ดังเช่น ปี พ.ศ. 2476 มีการปรับปรุงส่วนราชการในกระทรวงธรรมการและประกาศตั้งมหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์และการเมือง ปี พ.ศ. 2477 โอนคณะนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปสมทบกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ การเมือง ปี พ.ศ. 2478 ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาทั่วประเทศ ปี พ.ศ. 2488 ประกาศใช้พระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488 ปี พ.ศ. 2494 มีการประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ปีพ.ศ.2503 ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่2 ปีพ.ศ.2520 ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่3 และปัจจุบันกำลังใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ฉบับที่ 4 และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 การปฏิวัติเมื่อเดือนตุลาคม 2501 ได้มีการจัดทำและนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาใช้ ซึ่งต่อมาได้ยุบเลิกและจัดตั้งสภาการศึกษาขึ้นมาแทน สภานี้ได้พิจารณาเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 ขึ้นมา เป็นผลให้การศึกษาในระยะหลังได้เปลี่ยนไปอย่างมาก การศึกษาได้ขยายตัวขึ้นทุกระดับ เพราะประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา จึงจำเป็นจะต้องส่งเสริมให้พลเมืองได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพสามารถเพิ่มรายได้ของตน และช่วยยกฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ให้สภาพัฒนาเศษรฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 - พ.ศ. 2509) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510 - พ.ศ. 2514) ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515 - พ.ศ. 2519 ) ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2524) ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 - พ.ศ. 2529) ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2534) ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 - พ.ศ. 2539) ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2544) และฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2549) ซึ่งการจัดการศึกษาในปัจจุบันได้มุ่งยึดแนวนโยบายที่สอดคล้องกับแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545- พ.ศ. 2549) ได้จัดแผนการศึกษาระยะ เวลา 15 ปีเพื่อวางแนวทางในการพัฒนาการอย่างบูรณาการคุณภาพชีวิตในทุก ๆ ด้านและสอดรับกับวิสัยทัศน์ แนวนโยบาย มาตรการและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมไทย (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2545 ข : คำนำ) ส่วนการจัดการศึกษาของประเทศไทยในสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญมีการขยาย สถานศึกษาทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วน ภูมิภาค เช่น ปี พ.ศ. 2503 เริ่มก่อสร้างและจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และรับนิสิตในปี พ.ศ. 2507 ปี พ.ศ. 2509 เริ่มก่อสร้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในภาคใต้ เป็นต้น เนื่องจากมีผู้สนใจศึกษาในระดับอุดมศึกษามากขึ้นในปี พ.ศ. 2514 มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกและปี พ.ศ. 2521 ตั้งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งที่สอง ความเคลื่อนไหวในทางการศึกษาได้นำไปสู่แนวคิดการพัฒนาระบบการบริหารและการ จัดการศึกษาให้สามารถพัฒนาทรัพยากรบุคคลในชาติตามแนวทางพระราชบัญญัติการ ศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีผลทำให้โครงสร้างการบริหารงานและการจัดการศึกษาได้ปรับเปลี่ยน ทั้งการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเปิดสอน ในสาขาวิชาการและวิชาชีพมุ่งพัฒนาให้ผู้รอบรู้เป็นคนเก่ง คนดีและใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข การปรับโครงสร้างการบริหารการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการใหม่แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ สภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กลุ่มครูเทคโน.2551 : Online)

*เมื่อกล่าวถึงการศึกษา คงไม่สามารถที่จะพูดถึงเฉพาะเรื่องของการศึกษาเท่านั้น เพราะประชากร สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่กับการศึกษาอย่างแยกไม่ออก ดังเช่นเมื่อพิจารณาระบบการจัดการศึกษาของประเทศไทยบางยุคบางสมัย การศึกษาเป็นผลมาจากทางด้านการเมืองการปกครองบางสมัย การจัดการศึกษาก็เพื่อส่งผลไปสูด้านเศรษฐกิจหรือสังคม เพื่อทำความเขาใจในเรื่องการศึกษาไทยมากยิ่งขึ้น ควรได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาตลอดถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้นจากอดีตจวบจน ปัจจุบัน

ไทยเรามีประวัติการศึกษาควบคู่กับประวัติศาสตร์ เช่น ชาติอื่น ๆ คือ ตั้งแต่สมัยล้านนา นโยบายการจัดการศึกษาต้องการให้คนไทยรู้จักตัวหนังสือให้สามารถอ่านเขียน หนังสือได้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาพระไตรปิฏก นอกจากนี้ยังมีความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การต่อสู่ป้องกันตัว การเรียนการสอนใช้วัดเป็นส่วนใหญ่ (วณิช บรรจง. 2517 : 2) ตัวอักษรที่ใช้ในสมัยนั้นเป็นตัวอักษรไทยพวน หนังสือขอมและหนังสือฝักขาม เข้าสู่ยุคไทยมีอักษรใช้คือสมัยสุโขทัย จุดมุ่งหมายของการศึกษาก็เพื่อที่จะศึกษาพระไตรปิฏก เพราะเชื่อกันว่าพระไตรปิฏกคือประมวลวิชาการที่ไม่ได้มีความรู้อย่างเดียว แต่ยังสร้างวิทยาคุณแก่ผู้เรียนและผู้ปฏิบัติตามด้วย ผู้ศึกษาจบพระไตรปิฏก จะได้รับการยกย่องนับถือเหมือนผู้ศึกษาจบไตรเวทศาสนาพราหมณ์ และถือเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นมงคลบุคคล (เจริญ ไวรวัจนกุล. 2522 : 15 ) เมื่อถึงสมัยอยุธยา ลักษณะการปกครองของไทย ได้เปลี่ยนแปลงไปจากพ่อปกครองลูกเข้าสู่ระบบศักดินา การศึกษาจึงถูกจัดให้เป็นเครื่องมือในการสร้างฐานอำนาจ หรือรักษาอำนาจของตน ดังจะเห็นได้จากวรรณคดีที่แต่งในยุคนี้จะเทิดทูนฐานันดรศักดิ์ และความมีอำนาจเหนือมนุษย์ของตัวพระตัวนางในบทวรรณกรรม และใช้สาระทางบาปบุญ นรก สวรรค์ เป็นแนวทางการ สั่งสอนให้มนุษย์เกรงกลัวต่อบาป ไม่ละเมิดระบบศักดินาของชนชั้นดังเช่นเรื่อง สมุทโฆษคำฉันท์ นันโทปนันทสูตร เป็นต้น (เจริญ ไวรวัจนกุล 2522 : 18) ต่อมากรุงศรีอยุธยาได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ จึงได้รับวิทยาการใหม่ ๆ ของชาวตะวันตกเพื่อการพัฒนาประเทศ มีการเปิดสำนักสอนวิชาเฉพาะขึ้นอย่างกว้างขวาง กำหนดคุณสมบัติของผู้จะเข้ารับราชการ นำการสอนแบบ 3RS มาใช้ในไทย โดยเฉพาะสมัยแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช นับเป็นยุคทองของไทยได้เปิดโรงเรียนสามเณร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่บาทหลวงฝรั่งเศสตั้งขึ้นเริ่มการสอนภาษาต่างประเทศจน เกิดการเกร่งกลัวต่อวัฒนธรรมตะวันตก นักปราชญ์ของไทยจึงได้แต่งแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรกชื่อว่า จินดามณีขึ้นมา (สุภางค์ จันทวานิช 2529 : 3) เข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ยุคต้น การศึกษามิได้แตกต่างไปจากยุคก่อนมากนักมีการจัดตั้งโรงทานในรัชกาลที่ 2 เพื่อเลี้ยงอาหารและสอนวิชาการ

จะเห็นได้ว่าการศึกษาของไทยเราเท่า ที่ผ่านมา มองการศึกษาว่าเป็นเครื่องมือที่จะพาให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ความดับชั่วนิรันดรคือนิพาน เชื่อในผลบุญในชาติปางก่อนที่ส่งผลมาสู่ชาติภพนี้ และบุญกรรมชาตินี้จะส่งผลสู่ภพหน้า การที่เรายากไร้ลำบากในชาตินี้ก็เพราะบุญกรรมที่ทำแต่ชาติปางก่อน ไม่มีทางที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นในชาตินี้ควรที่จะประกอบผลบุญให้มากไว้ เพื่อชาติหน้าจะได้สบาย อิทธิพลความคิดความเชื่อทัศนคติเช่นนี้ยังติดตัวคนไทยมาจนถึงยุคปัจจุบัน

สมัย รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาอย่างมากมาย เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองเห็นได้จากนโยบายการจัดการศึกษาของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีว่า

1. จัดการศึกษาเพื่อผลิตคนเข้ารับราชการ

2. จัดการศึกษาเพื่อผลิตคนให้มีความรู้ความสามารถแบบตะวันตก

3. เพื่อเปลี่ยนแปลงฐานของคนไทย (สมัย ชื่นสุข. 2520 : 91-92)

การ ที่พระองค์ทรงมีนโยบายจัดการศึกษา พัฒนาคนไทยให้มีความรู้แบบคนตะวันตก เพื่อเข้ารับราชการ ก็เพื่อไม่ให้ชาวตะวันตกดูแคลนคนไทยและประเทศไทย อีกทั้งสะดวกในการติดต่อกับชาวตะวันตก สามารถที่จะรู้ความคิดความอ่าน และรู้เท่าทันชาวตะวันตก เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของไทยโดยส่วนรวม มิให้เหมือนกับนานาประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก สมัยนี้มีการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนอย่างจริงจังได้ตั้งกระทรวงธรรมการ เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการศึกษามีการประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติใน รูปแบบโครงการการศึกษาปี พ.ศ. 2441, 2445, และ 2456

หลังการเปลี่ยน แปลงการปกครองได้มีแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 และแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2503 ซึ่งแผนการศึกษาดังกล่าวระบุแนวทางการจัดการศึกษา ปรัชญาและจุดมุ่งหมายของการศึกษาแต่ละระดับโดยส่วนรวม กำหนดโครงสร้างของการศึกษา คือ กำหนดระดับการศึกษา กำหนดรายอายุผู้ที่จะเข้าเรียนในระดับต่างๆ กำหนดชั้นเรียนและกำหนดความเกี่ยวเนื่องระหว่างระดับการศึกษา (เจือจันทร์ จงสถิตอยู่. 2529 : 49) โดยทั่วๆ ไปมีระดับการศึกษาภาคบังคับหรือระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา หรือที่เรียกว่าระดับ 2 และระดับอุดมศึกษาเป็นการศึกษาระดับที่ 3 หลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ทฤษฎีที่ใช้ในการเรียนการสอนของไทยยังนำเอาความรู้วิชาการ การจัดการเรียนการสอนตลอดถึงรูปแบบของการจัดการศึกษามาจากประเทศตะวันตกจวบ จนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการปรับปรุงหลักสูตรกี่ครั้งก็ตาม

..... ครูแก่

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

attitude ในภาษาอังกฤษ กับ ทัศนคติ ในภาษาไทย มันไม่เหมือนกันใช่ไหมครับ?

attitude ในพาดหัวบทความนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นมุมมองต่อหลาย ๆ เรื่อง ของคน คนหนึ่ง หรือมุมมองโดยรวมของคนคนหนึ่ง ต่อสิ่งต่าง ๆ ต่อโลก โดยไม่เฉพาะเจาะจง โดยใช้ในลักษณะของนามธรรม ไม่ใช้ในรูปพหูพจน์

แต่ ทัศนคติในภาษาไทย เราจะใช้กับมุมมองต่อสิ่ง สิ่งเดียว ของคน คนหนึ่ง ใช้เป็นสกรรมกริยา
โดยในภาษาไทย ผู้ฟังต้องรู้ว่าเป็นทัศนคติที่มีต่ออะไรอย่างเฉพาะเจาะจง

ผมเข้าใจ ถูกไหมครับ?

ถ้า attitude กับ ทัศนคติ ในภาษาไทยมีความหมายไม่เหมือนกันซะทีเดียว แล้วแบบนี้สำนวนที่ได้ยินในหนัง ทำนองว่า

He/She's got the attitude.
I don't like your attitude, young man.

เราควรแปลเป็นไทยว่ายังไงดีล่ะครับ? เรายังสามารถใช้คำว่าทัศนคติแทนความหมายในภาษาอังกฤษไหมครับ?
------------------------------------------------------------------------------------------------
ถามเพิ่มเติมครับ

ถ้าสำนวน
One's got the attitude.
แสดงถึง มุมมองของคนพูดที่มีต่อบุคคลคนนั้นในแง่ลบใช่ไหมครับ

แล้วถ้าจะบอกใน ทางตรงข้ามล่ะครับ ว่าเป็นเค้าคน "ไม่แรง" หรือ "รู้จักเกรงใจ" จะบอกว่า

One hasn't got the attitude.
One ain't got the attitude.
One's got no attitude.

ได้ไหมครับ?
หรือต้องใช้สำนวนยังไงครับ?
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่หรอก ไม่มีใครใช้กันแบบนั้น เพราะภาษาไม่แคบ ไม่จนคำจนแต้มถึงขนาดจะต้องเอาคำเดิมมาใช้

ถ้าเป็น ในแง่บวกก็มีคำมากมายที่ใช้ในแง่บวกโดยเฉพาะ

ตัวอย่างเช่นในกระทู้ นึงที่มีคนขอให้แปล ถ้อยคำที่ว่า "ภรรยาพี่ชายของฉัน"
แล้วก็มีคนเข้าไป แปลว่า My brother's wife. น้าอ้อก็เข้าไปถามว่า ทำไมไม่ใช้คำว่า พี่สะใภ้? เพราะคำตรงตัวมันก็มี ทำไมไม่ใช้ ถามไปแต่ก็ไม่ได้คำตอบหรอก เค้าไม่ได้ให้เหตผลว่าทำไม

ที่ยกมาถามทั้งสามประโยคนั้นก็เช่นกัน คำบางคำในแง่ลบก็ควรจะสงวนไว้ใช้ในประโยคหรือบรรยากาศที่เป็นแง่ลบเท่านั้น จะนำความคิดแบบภาษาไทยมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้

เมื่อวานตอบกระทู้นึงที่ เค้าถามว่า ภาษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์กันอย่างไร ต่อท้าย #1 ของกระทู้นี้ก็เป็นตัวอย่างได้อย่างดีเช่นกัน ต่างภาษาก็ต่างวัฒนธรรมน่ะแหละ

เราจะใช้ว่า That person is nice. S/he is polite. nice, kind, polite, good-hearted, merci, thoughtful พวกคำที่เป็นแง่บวกทั้งหลาย มีอยู่มากมายให้เลือกใช้ ดีกว่าที่จะแป๊กอยู่ที่คำ ๆ เดียวเหมือนกับคนที่ไม่รู้ศัพท์แสงอะไรอื่น ๆ เลยหรือใช้ไม่เป็น

คนเราไม่ได้กินข้าวกับไข่ทุกมื้อทุกวันหรอกมั้ง?
น้าอ้อ....
-----------------------------------------------------------------------------------------------
He/She's got the attitude.

I don't like your attitude, young man.

สองประโยคที่ถามมานี้ แปลว่าพฤติกรรม การแสดงออก หรือที่ภาษาไทยเราใช้แบบตรง ๆ ว่ามารยาทไม่ดี, นิสัยไม่ดี

ถ้ารู้ จริง ไม่ว่าคำไหนหรือสำนวนไหนก็แปลออกมาได้ทั้งนั้นแหละ คุณสรรค์ธนัท ไม่งั้นเค้าคงไม่มีการแปลหนังสือออกมาเป็นเรื่องเป็นราวตั้งมากมาย ภาษาไทยร่ำรวยคำมากมาย ถ้าใช้เป็นแปลเป็นและรู้จริงก็แปลได้ตรงตามที่เค้าต้องการจะสื่อ ไม่จนคำหรอก

He/She's got the attitude. เธอ/เขามารยาทช่างเหลือเกิน

I don't like your attitude, young man. ฉันไม่ชอบนิสัยเธอเลยนะพ่อหนุ่ม
น้าอ้อ...
----------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ใช้ภาษาไทยตรงๆไปว่า ความคิดเห็น หรือ เดี่๋ยวนี้ก็มีคนนิยมใช้คำว่า มุมมอง
เฉยเลย...
---------------------------------------------------------------------------------------------